วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2561

Learning log 5



  วันที่ 19 กันยายน 2561


                                        Learning  log 5


    สำหรับการเรียนวันนี้ได้เรียนเรื่องการทำการทดลองวิทยาศาสตร์ให้กับเด็กปฐมวัย โดยอาจารย์ได้ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่มละ 5 คน และให้ใบความรู้มากลุ่มละ 5 ใบ ซึ่งนักศึกษาจะได้ใบความรู้กันคนละ 1 ใบ  และต้องอ่านทำความเข้าใจ และเขียนสรุป
 
อาจารย์ได้มอบหมายงานให้นักศึกษาไปหาฝาขวดน้ำมาคนละ 1 ฝา หลังจากที่ทุกคนได้ฝาครบแล้ว อาจารย์จึงบอกโจทย์การทำงาน คือ ให้ทำของเล่นจากฝาน้ำ  ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ คนละ 1 อย่าง และให้ทำในเวลานั้นเลย นักศึกษาตื่นเต้นกับการทำงานในครั้งนี้ ทุกคนดุสนุกสนาน กระตือรือร้นกันทุกคน การเรียนครั้งนี้จึงทำให้ห้องเรียนสนุกสนาน ครึกครื้น และได้ลงมือทำ




                                         ไหลแรงหรือค่อย (เรื่องน้ำ)


สิ่งที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน

    เด็กๆสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์เรื่องความดันน้ำได้หลายวิธี  เช่น  เมื่อเปิดก๊อกให้น้ำไหลออกจากถังเก็บในที่สูงๆน้ำจะค่อยๆไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำด้วยความโน้มถ่วงของโลกหลายคนคงเคยเห็นถังเก็บน้ำประปาซึ่งตั้งไว้ที่สูงเพื่อให้มีความดันน้ำมากพอที่จะไหลผ่านท่อไปยังก๊อกน้ำได้  หรือบางคนคงเคยดำน้ำแล้วรู้สึกว่ามีความดันอยู่ในหู จนทำให้หูอื้อ



ภาพรวมการทดลอง

    อธิบายเรื่องแรงดันของน้ำที่มีความดันเพิ่มขึ้น  เมื่อดำลงไปลึกและเมื่อปล่อยน้ำลงจากบริเวณที่สูง  ให้เด็กๆเจาะขวดพลาสติกที่บรรจุน้ำอยู่เต็ม  ถ้าเจาะรูใกล้ก้นขวดมากน้ำจะยิ่งไหลแรงและน้ำจะไหลออกจากรูที่เจาะไว้ก็ต่อเมื่อมีอากาศเข้ามาแทนที่น้ำในเวลาเดียวกัน



วัสดุอุปกรณ์

สำหรับการทดลองรวม

-  เทปกาวใสและกรรไกร

-  เข็มหมุดติดบอร์ด หรือตะปูตัวเล็ก (ระวังอันตรายจากปลายแหลมของเข็มหมุดและตะปู)

-  ปากกาเมจิกกันน้ำ

สำหรับเด็กแต่ละคนหรือหลายคน

-  ขวดน้ำพลาสติกขนาดใหญ่ 1 ใบ

-  กะละมังพลาสติก 1 ใบ

-  กาน้ำหรือถ้วยตวงบรรจุน้ำเต็ม 1 ใบ

-  กรวย 1 อัน

สำหรับทำการทดลองเพิ่มเติม

-  ฝาปิดพลาสติก

-  ไม้จิ้มฟัน (ระวังอันตรายจากปลายแหลม)



แนวคิดหลักการทดลอง

     น้ำมีแรงดัน  ที่บริเวณน้ำลึกจะมีความดันมากกว่าที่น้ำตื้นการไหลของน้ำจะเกิดขึ้นได้จะต้องมีอากาศเข้าไปแทนที่
   ดังนั้นถ้าภาชนะปิดรูหมดมีรู  1 รู น้ำก็จะไม่สามารถไหลออกมาจากรู้ได้



เริ่มต้นจาก

     - ยกตัวอย่างหรือกล่าวถึงเรื่องที่เกี่ยวกับแรงดันน้ำเพื่อโยงเข้าสู่การทดลอง  เช่น  อภิปรายเกี่ยวกับถังเก็บน้ำประปามีวิธีการทำงานอย่างไร  ทำไมถังเก็บน้ำต้องตั้งอยู่ในที่สูงเสมอ  หรือพาไปดูถังเก็บน้ำต้องตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียง  จะทำให้เด็กรู้สึกตื่นเต้นและอยากรู้ว่าน้ำประปาไหลเข้ามาในบ้านได้อย่างไร

-  สำหรับการทดลอง  ขั้นแรก  ให้เด็กๆลอกฉลากบนขวดน้ำออก

-  หลังจากนั้นใช้เข็มหมุดหรือตะปูตัวเล็กเจาะรูขวดน้ำอย่างน้อย  2 รู โดยให้รูแรกอยู่ใกล้ก้นขวด  และรูที่สองอยู่กลางขวด   บริเวณที่เจาะรูควรใช้ปากกาเมจิกกันน้ำทำสัญลักษณ์ไว้เพื่อให้เห็นง่าย



ทดลองต่อไป

-  ใช้เทปกาวใสขนาดยาวพอควรปิดทับรูทั้งหมดที่เจาะไว้บนขวด 

-  นำขวดน้ำไปวางในกะละมังพลาสติกและเทน้ำผ่านกรวยลงไปในขวดให้เต็ม

อาจวางกรวยพักไว้ที่ขวดสำหรับเติมน้ำภายหลัง

-  ไม่ต้องปิดฝาขวดน้ำ

-  ถามเด็กๆว่าเมื่อดึงเทปกาวออก  น้ำจะไหลออกจากรูไหนแรงที่สุด

-  ให้เด็กๆใช้มือหนึ่งจับขวดไว้  ส่วนอีกมือดึงเทปกาวใสออกอย่างระมัดระวัง  ไม่ให้ขวดล้ม 



เกิดอะไรขึ้น

           น้ำจะไหลจากรูด่างล่างแรงกว่ารูด้านบน เพื่อให้มีเวลาสังเกตการทดลองได้นานขึ้นให้เติมน้ำใส่ขวดตลอดเวลา
             บางครั้งน้ำอาจไม่ไหลออกมาเป็นสาย แต่ไหลลงมาตามด้านข้างขวดน้ำ ให้เด็กๆใช้นิ้วกดปิดรูนั้นสักครู่แล้วปล่อย น้ำจะไหลออกมาเป็นสายเหมือนเดิม หรือทำให้ขวดแห้งและติดเทปกาวปิดรูใหม่ (บางทีอาจต้องขยายรูให้ใหญ่ขึ้น และเปลี่ยนเทปกาวใส)



คำแนะนำ

            อาจใช้ขวดหลายใบที่ขนาดต่างๆกันในการทดลอง แต่ละขวดเจาะรูเพียง 1 รู  โดยให้ความสูงของรูที่เจาะแต่ละขวดไม่เท่ากัน
    แล้วใช้เทปกาวใสหรือไม้จิ้มฟันปิดรูไว้  หลังจากนั้นให้เด็กช่วยกันดึงเทปกาวของแต่ละขวดออกพร้อมกัน เปรียบเทียบความแรงของน้ำที่ไหลออกมา หลังจากนั้นให้ทดลองดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อใช้มือบีบขวด
            นอกจากนี้ยังมีการทดลองที่น่าสนใจอีกแบบหนึ่งคือ ให้เด็กๆนำฝามาปิดขวด น้ำจะไหลออกจากรูด้านล่างตามปกติ แต่ไม่ไหลออกจากรูด้านบน   จากนั้นใช้นิ้วโป้งอุดรูด้านบน น้ำจะไม่ไหลออกจากรูด้านล่างอีก


ทำไมเป็นเช่นนั้น

          น้ำประกอบด้วยโมเลกุลจำนวนมากซึ่งมีน้ำหนัก ยิ่งโมเลกุลซ้อนทับกันจำนวนมาก  น้ำหนักที่กดลงด้านล่างยิ่งมากขึ้นเพื่อให้ภาพชัดเจน  ให้เด็กที่แข็งแรงที่สุดนอนราบกับพื้นหรือนั่งอยู่บนเก้าอี้ แล้วให้เด็ก 1-2 คนนอนหรือนั่งทับจะพบว่าแรงที่กดทับเด็กคนแรกจะมาก
ความดันน้ำเพิ่มขึ้นเมื่อมีความลึกมากขึ้น  เป็นผลให้น้ำที่ไหลออกจากรูด้านล่างไหลแรงกว่ารูด้านบน
ในการดำน้ำนั้นสามารถรู้สึกถึงความกดดันจากน้ำหนักของน้ำได้  โดยเยื่อแก้วหูจะถูกกดด้วยความดันน้ำและอาจเป็นอันตรายจนแก้วหูฉีกได้
ถังเก็บน้ำประปาสำหรับแจกจ่ายน้ำผ่านท่อไปยังบ้านเรือนจึ้งตั้งไว้ในที่สูงเพื่อให้มีความดันมากพอ
ในการทดลองที่นำฝามาปิดขวดน้ำและใช้นิ้วปิดรูด้านบนทำให้น้ำไม่ไหลออกจากรูด้านล่างนั้น  เพราะว่าอากาศไม่สามารถแทรกเข้าไปในขวดได้  ทำให้ความดันอากาศภายในขวดต่ำ  ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการไหลของน้ำ  การที่จะทำให้ความดันอากาศภายในขวดเพื่อแทนที่น้ำ  ซึ่งจะผ่านเข้ามาทางรูด้านบนของขวด  เนื่องจากมีแรงดันน้ำต่ำกว่าบริเวณรูด้านล่าง  เมื่ออากาศเข้ามาในขวดได้  น้ำจะไหลออกจากรูด้านล่างอีกครั้ง


ของเล่นจากวัสดุเหลือใช้   (ฝาน้ำ)

วัสดุอุปกรณ์ 

- ขวดเปล่า 1 ขวด

- กรรไกร/คัตเตอร์

- กาวติดพลาสติก 

- ฝาน้ำ

- ปากกาเมจิกกันน้ำ

- อุปกรณ์ตกแต่ง เช่น ตาปลอม , กระดุม


ขั้นตอนการทำ  

- เอาขวดเปล่มาล้างน้ำให้สะอาด

- ถอดฝาน้ำออก แล้วนำมาเจาะรูที่ฝา 2 รู 

- ตกแต่งนำช้อนพลาสติดมาติดเป็นหู และแปะกระดุมเป็นตาสองข้าง


วิธีการเล่น  

ใส่น้ำเข้าไปในขวดให้เต็ม แล้วปิดฝาที่เป็นรูให้แน่น พอเราบีบตรงกลางขวด น้ำก็จะออกมาเป็นปืนฉีดน้ำ ทีนี้ก็ได้เวลามาเล่นสนุกคลายร้อนกับเจ้าตัวเล็กกันแล้ว





 


    


 



ประเมินตนเอง : ดิฉันตั้งใจฟังเวลาอาจารย์สอนหรือสั่งงานคะ

ประเมินเพื่อน : เพื่อนตั้งใจทำงานดีคะ และตั้งใจเรียนดี

ประเมินอาจารย์ : อาจารย์สอนวันนี้ได้สนุกดีคะ ในการเรียนมีหลากหลาย เป็นการได้มือทำจริงและงานที่ทำก็สามารถทำได้จริงในเวลาสั้นๆ ไม่ใช่งานชิ้นใหญ่ หรือยากเกินไปที่ต้องใช้เวลาทำนานๆ แต่งานในครั้งนี้เป็นงานชิ้นเล็กที่สามารถทำได้จริง สร้างความสนุกสนานในบรรยากาศห้อเงรียน และได้รับประสบการณ์ตรงจากการทำจริงคะ

วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2561

Research


สื่อ เรื่อง สนุกวิทย์   by ครูสง่า 
 



โทรทัศน์ครู อาจารย์สง่า ทรัพย์แฮง

สนุกวิทย์ คิดทดลอง ตอน ขวดประดาน้ำ แรงดันอากาศ (จากแหล่ง โทรทัศน์ครู)

ในการสอนนั้นการนำเข้าสู่บทเรียนนั้นสำคัญที่สุด เพราะเด็กจะเกิดการสนใจ
การสอนเรื่องขวดประดาน้ำ โดยใช้สื่อปลอกปากกาถ่วงลอยในขวดน้ำดื่ม แสดงการจม การลอยของมวลปลอกปากกา เด็กจะเกิดการสนใจ และมีความสนุกสนานในการเรียนและเด็กจะได้เปรียบเทียบกับเรือดำน้ำ การลอยจมของไข่ไก่ในตัวแปรต้นที่เป้นสารละลายเข้มข้นแตกต่างกัน โดยครูมีการตั้งคำถาม ให้เด็กคิดและทดลองเด็กก้จะหาวิธีและหาคำตอบให้ครู


สรุปวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย


    สาระเกี่ยวกับธรรมชาตื และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กที่เด้กควรเรียนรู้  การเรียนการสอนมุ่งให้เด็กเกิดความเข้าใจมากกว่าที่จะจำเป็นองค์ความรู้  การเรียนวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยแตกต่างจากเด็กวัยอื่นที่เด็กปฐมวัยมีการเจริญของสมองที่รวดเร็วและต้องการการกระตุ้นเพื่อการงอกงามของใยสมองในช่วงปฐมวัย

ทักษะทางวิทยาศาสตร์

    เด็กปฐมวัยเป้นวัยที่เด็กมีความอยากรู้อยากเห็นต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา เพราะเป็นวัยที่มีการพัฒนาทางสติปัญญา  สูงที่สุดของชีวิต ทักษะกระบวนการทางวิทยาสาสตร์ เป็นทักษะที่ส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยสามารถคิดหาเหตุผล แสวงหาความรู้ สามารถแก้ไขปัญหาได้ตามวัยของเด็ก ควรจัดกิจกรรมให้เด็กได้ลงมือกระทำด้วยตนเองจากสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว 
    ทักษะการบานการทางวิทยาสาสตร์  อันเป็นกระบวนการขั้นพื้นฐานหรือทักษะเบื่องต้นที่ควรส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยให้ได้รับการพัฒนา มี 7 ทักษะ 

ทักษะกระบวนการ 

  - ทักษะการสังเกต
  - ทักษะการจำแนกประเภท
  - ทักษะการวัด 
  - ทักษะการสื่อความหมาย
  - ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล
  - ทักษะการหาความสัมพันธ์
  - ทักษะการคำนวน

    การสอนวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยเป็นการสอนข้อความรู้ ซึ่งต่างจาก การสอนให้รู้ความรู้ ตรงที่การสอนข้อควมรู้ต้องการความสนใจ การสังเกต การจำ และการเรียกความจำจากการเข้าใจถ่ายโยงได้ ไม่ใช่การท่องจำซึ่งตรงกับการเรียนวิทยาศาสตร์ที่เป้นการเรียนรู้จากการให้คิดและมีเหตุผล เกิดการเข้าใจมโนทัศน์ และสรุปเป๋็นข้อความรู้ด้วยตนเอง


การเรียนวิทยาสาสตร์ เป็นการพัฒนาศักยภาพทางปัญญา 

     1. ความสามารถในการสังเกต การจำแนก การแจกแจง การดูความเหมือน ความต่าง ความสัมพันธ์
     2. ความสามารถในการคิด การคิดเป็นการจัดระบบความสัมพันธ์ของข้อมูลภาพ และสิ่งที่พบเห็นเข้าด้วยกัน เพื่อแปลตามข้อมูลหรือเชื่อมโยงข้ออ้างอิงที่พบไปสู่การประยุกต์ใช้ที่เหมาะสม การคิดเป็น คือ การคิดอย่างมีเหตุผล โดยคำนึงถึงหลักการวิชาการและบริบท
    3.ความสามารถในการแก้ปัญหา ซึ่งมักจักเกิดขึ้นระหว่างการจัดกิจกรรม เด็กจะได้เรียนรุ้จากการค้นคว้าในการเรียนนั้นๆ
    4.การสรูปข้อความรู้ หรือมโนทัศน์จากากรสังเกต และการทดลองจริงสำหรับเป็นพื้นฐานความรุ้ของการเรียนรู้ต่อเนื่อง 




Research


สรุป วิจัย เรื่อง ผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่มีต่อทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย 

    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงระหว่างก่อนและหลังการทดลอง
    กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นเด็กปฐมวัยชาย-หญิง อายุ 5-6ปีที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 และภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 โรงเรียนวัดยางสุทธาราม เขตบางกอกน้อย สังกัดสำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร จำนวน 27 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เพื่อใช้ในการทดลองการจัดการเรียนรู้ตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที
    เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยนี้คือ แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสำหรับเด็กปฐมวัยและแบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น
66 แบบแผน การวิจัยเป็นการวิจัยกึ่งทดลอง ( One-Group Pretest - Posttest Quasi - Experimental Designs สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ T - test สำหรับ Dependent samples

ผลวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์หลังการทดลองสูงกว่าก่อน การทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 01



http://thesis.swu.ac.th/swuthesis/Ear_chi_Ed/Samruay_S.pdf





สรุปวิจัย เรื่อง การคิดวิจารณญาณของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ 


    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบการคิดวิจารณญาณของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังทำกิจกรรมละเลงสีด้วยนิ้วมือ
    กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือเด็กปฐมวัย ชาย - หญิง อายุ 4 - 5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 โรงเรียนพระมารดานิจานุเคราะห์ กรุงเทพมหานคร จำนวน 15 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน โดยการทำการทดลองสัปดาห์ละ 3 วันๆ ละ 25 นาที รวมระยะเวลาในการทดลอง 8 สัปดาห์
    เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบทดสอบวัดการคิดวิจารณญาณ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น 92 แผนการ การจัดกิจกรรมละเลงสีด้วยนิ้วมือ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น แบบแผนการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบ One - Group Pretest - Posttest Design สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลค่า t - test สำหรับ Dependent samples
    
ผลการวิเคราะห์พบว่า การคิดวิจารณญาณของเด็กปฐมวัยหลังการทำกิจกรรมละเลงสีด้วยนิ้วสูงกว่าก่อนทำกิจกรรมละเลงสีด้วยนิ้วมืออย่างมีวินัย










Article


    บทความ เรื่อง กิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะทางวิทยาศาสตร์ในเด็กปฐมวัย



       วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในชีวิตประจ ำวันของคนเรา จะเห็นว่า แม้แต่เด็กปฐมวัยก็ยังได้รับประสบการณ์ในชีวิตประจำวันที่มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น ประกอบกับเด็กปฐมวัยมีความอยากรู้อยากเห็นและมักจะตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัวอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ เด็กปฐมวัยควรจะได้รับการส่งเสริมและพัฒนาทักษะที่จำเป็นในการค้นคว้าหาความรู้ เพื่อที่จะได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ และ สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น และ จะได้มีโอกาสพัฒนา และ ประยุกต์ความรู้เหล่านั้นไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต
    สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาวิทยาศาสตร์ประถมศึกษา (2551) นำเสนอ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ครูและผู้ปกครองควรจะส่งเสริมให้แก่เด็กปฐมวัย ประกอบด้วย

1. ทักษะการสังเกต หมายถึง การสำรวจสิ่งต่างๆรอบตัว เด็กทารกจะใช้สายตาสำรวจสิ่งต่างๆที่อยู่โดยรอบ ใช้มือสัมผัสสิ่งต่างๆอย่างสนใจ หรือ อาจจะหยิบสิ่งต่างๆรอบตัวมาบีบ กัด ดมเล่น ซึ่งทุกครั้งที่มีโอกาสกระทำเช่นนั้น ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ และ นำไปสู่ การพัฒนาความคิดในระดับที่สูงขึ้นต่อไป

2.  ทักษะการจำแนกประเภท เป็นทักษะการแบ่งกลุ่มโดยมีเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง

3.  ทักษะการทำนาย เป็นทักษะการคาดคะเนคำตอบก่อนจะพิสูจน์ด้วยการทดลอง โดยอาศัยประสบการณ์เดิม ความรู้เดิมมาช่วยทำนาย
4.  ทักษะการวัด เป็นการเลือกใช้เครื่องมือ วัดหาปริมาณ น้ำหนัก ความสูง ความยาว ของสิ่งต่างๆ โดยในระดับปฐมวัย อาจจะใช้เครื่องมือวัดที่ไม่เป็นมาตรฐาน เช่น ใช้คืบมือ ใช้คลิปมาต่อกัน เป็นต้น

5. ทักษะการคำนวณ ซึ่งหมายถึงการนับจำนวนของวัตถุ และ นำค่าที่ได้มาเปรียบเทียบกัน


6. ทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล หมายถึง การนำข้อมูลที่ได้จากการสังเกต
การวัด การทดลอง และ จากแหล่งอื่นๆ มาจัดกระทำใหม่ และ นำเสนอเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจความหมาย
7. ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างมิติของวัตถุ ระหว่างตำแหน่งที่อยู่ของวัตถุหนึ่งกับอีกวัตถุหนึ่งและระหว่างการเปลี่ยนตำแหน่งหรือมิติของวัตถุกับเวลาที่เปลี่ยนไป
8. ทักษะการลงความคิดเห็นจากข้อมูล หมายถึง การเพิ่มความคิดเห็นให้กับข้อมูลที่ได้จากการสังเกตอย่างมีเหตุผลโดยอาศัยความรู้และประสบการณ์เดิมมาช่วย
  การจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร์ให้แก่เด็กปฐมวัย ครูผู้สอนควรจะต้องคำนึงถึงการจัดกิจกรรมให้เด็กเรียนรู้ผ่านสถานการณ์จริง เช่น พาเด็กๆไปทัศนศึกษา หาสื่ออุปกรณ์ของจริงที่เด็กได้หยิบ จับ ทดลองกระทำกับวัตถุสิ่งของจริง โดยประสบการณ์ที่จัดให้แก่เด็กนั้นจะต้องมีความหมายต่อเด็ก เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับสิ่งที่เคยเรียนรู้ เคยพบเห็น และ สามารถนำมาปรับใช้ได้ในอนาคต

    การประกอบอาหาร เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ส่งเสริมทักษะวิทยาศาสตร์ให้แก่เด็กปฐมวัย  โดยทั่วไปแล้ว เด็กเล็กๆในวัยนี้มักจะไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองให้ช่วยทำอาหาร อาจจะเป็นเพราะเกรงในเรื่องความปลอดภัย หากใช้มีดที่มีความคม หรือ หากต้องประกอบอาหารโดยใช้ความร้อน แต่หากมองอีกแง่มุมหนึ่ง การประกอบอาหารเป็นกิจกรรม และ จัดว่าเป็นสื่อการสอนอย่างดีที่จะช่วยพัฒนาทักษะ ความรู้ และ ความเข้าใจในแนวคิดทั้งทางวิทยาศาสตร์ และ คณิตศาสตร์ หากครู และ ผู้ปกครองให้ความช่วยเหลือเด็ก อยู่ใกล้ๆ และ คอยระมัดระวังอันตรายที่อาจจะ
เกิดขึ้นกับเด็กในขณะทำอาหาร เด็กก็จะได้รับประโยชน์จากกิจกรรมประกอบอาหารอย่างมาก

  ดังได้กล่าวแล้วว่า การประกอบอาหารเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ส่งเสริมทักษะวิทยาศาสตร์ให้แก่เด็ก
ปฐมวัย เพราะเป็นกิจกรรมที่เด็กได้รับประสบการณ์ตรงตั้งแต่ขั้นเตรียมอุปกรณ์ และ ส่วนผสม  ส่วนประกอบที่นำมาใช้ในการประกอบอาหารก็ล้วนแต่เป็นของจริง ทำให้เด็กเกิดความสนใจ และ ช่วยทำให้เด็กจดจำง่าย  ในขณะทำอาหาร เด็กต้องใช้การสังเกตปริมาณส่วนผสม ส่วนประกอบของอาหารที่จะทำ รวมถึงการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่นำมาทำเป็นอาหาร การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ การเปรียบเทียบรสชาติ ในขณะทำอาหาร เด็กได้พัฒนาแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับ ขนาด รูปร่าง ตัวเลข จำนวน สี การชั่ง ตวง การดมกลิ่น การรู้รส ซึ่งจะทำให้เด็กรับรู้ความเหมือน ความต่าง และ ความหมายของสิ่งที่เด็กได้รับรู้นั้น นอกจากนี้ เด็กก็ยังได้เรียนรู้ทักษะการจำแนก เช่น จำแนกส่วนประกอบอาหารที่นำมา เช่น ส้มเขียวหวาน ส้มโอ มะนาว ว่ามีรูปทรงกลมเหมือนกัน ขนาดต่างกัน รสชาติเปรี้ยวเหมือนกัน หรือ เด็กๆอาจจะแบ่งประเภทของอาหารตามเกณฑ์อื่นๆ เช่น สี จำนวน รูปร่าง และ ประเภท ในการจัดกิจกรรมประกอบอาหารนี้ครูอาจจะสร้างสถานการณ์เพื่อกระตุ้นให้เด็กมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ได้ด้วย เช่น ให้เด็กๆช่วยกันคิดว่า ถ้าเราจะลองทำไข่ยัดไส้ เด็กๆอยากจะใส่ส่วนผสมอะไรได้บ้าง เป็นต้น

  โดยธรรมชาติของเด็กปฐมวัย จะมีความคิด การใช้ภาษาอย่างจำกัด ทำให้เด็กอาจจะไม่สามารถถ่ายทอดความคิด ความเข้าใจ และ ความต้องการให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่ายนัก การใช้คำถาม จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยทำให้ ครู และ ผู้ปกครอง มีความเข้าใจเด็กมากยิ่งขึ้น คำถามที่ท้าทาย และ กระตุ้นให้เด็กอยากเรียนรู้ จะส่งเสริมให้เด็กคิดหาคำตอบ ด้วยวิธีการทดลอง ลงมือทำ หรือ หาคำตอบจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ตัวอย่างคำถามที่ท้าทายให้เด็กลองทำนายจากข้อมูลที่มีอยู่  เช่น แห้วที่นำมาคลุกแป้งเรียบร้อยแล้ว เมื่อใส่ลงไปในน้ำเดือด เด็กๆคิดว่า จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเด็กๆต้องการทำให้แห้วมีสีเหลือง สีเขียว สีแดง เด็กๆจะทำอย่างไร หรือ ในการต้มไข่ เด็กๆจะใช้เวลาในการต้มนานเท่าไหร่เพื่อให้สุกเป็นไข่ต้ม ไม่ใช่ไข่ลวก เป็นต้น การใช้คำถามของครูสามารถดำเนินในทุกขั้นตอนของการสอนทำอาหาร เช่น ในขั้นตอนการวางแผนการทำ ข้าวผัด ครูอาจจะถามเด็กๆว่า “ในการทำข้าวผัด เด็กๆคิดว่าจะมีวิธีการดำเนินการอย่างไร” “เมื่อทำแกงจืดเสร็จแล้ว เด็กๆคิดว่า ควรจะใช้ภาชนะแบบใดใส่แกงจืด” คำตอบที่ได้จากเด็กแต่ละคนจะมีความหลากหลาย และ ลำดับขั้นตอนอาจจะยังไม่ถูกต้องนัก เนื่องจากเด็กแต่ละคนอาจจะมีประสบการณ์เดิมที่แตกต่างกัน เช่น เด็กบางคนอาจจะเคยรับประทานข้าวผัดที่ใส่ซอสมะเขือเทศ ก็อาจจะบอกว่า ข้าวผัดของตนมีสีส้ม และ สีส้มที่ได้นั้นมาจากซอสมะเขือเทศ ในขณะที่เด็กอีกคนอาจจะบอกว่า ข้าวผัดที่ตนเคยรับประทานมีสีน้ำตาล เพราะ สีน้ำตาลที่ได้มานั้นมาจากสีของซอสถั่วเหลือง หรือ ซีอิ๊วขาว

  คำถามที่ครูใช้ควรเป็นคำถามปลายเปิดเพื่อให้เด็กได้คิด ตอบ แสดงความคิดเห็น ซึ่งจะเป็นขั้นตอนการสื่อสารที่เด็กได้พัฒนาทางด้านภาษาอีกด้วย เด็กจะได้เรียนรู้จากการมีปฎิสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนในชั้นเรียน เช่น เมื่อครูจะจัดกิจกรรมให้เด็กทำ ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน เด็กบางคนไม่เคยรับประทานก็อาจจะไม่ทราบว่าเป็นอาหารที่มีลักษณะอย่างไร แต่เพื่อนที่เคยมีประสบการณ์ เคยเห็นคุณแม่ทำให้รับประทานก็บอกได้ว่า ก๋วยเตี๋ยวลุยสวนมีลักษณะอย่างไร นอกจากนี้ ครูอาจจะตั้งคำถามให้เด็กๆช่วยกันอภิปรายว่า “ถ้าน้ำเชื่อมที่เด็กๆช่วยกันทำมีรสหวานมากเกินไป เด็กๆจะทำอย่างไรให้น้ำเชื่อมมีรสชาติหวานน้อยลง”

  ในขั้นตอนการทำอาหาร ครูอาจจะส่งเสริมให้เด็กได้ใช้ทักษะการทำนาย โดยให้เด็กๆได้ช่วยกันคาดคะเนวางแผนก่อนลงมือทำอาหาร โดยตั้งคำถามว่า “ถ้าหากใส่น้ำตาลลงไปในขณะที่น้ำยังร้อนอยู่ เด็กๆคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น” “ถ้าผสมผงแป้ง กับ น้ำ เด็กๆคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น” หลังจากนั้นครูให้เด็กๆลองลงมือทำอาหารด้วยตนเอง แล้วค้นหาคำตอบด้วยตนเองโดยการใช้ประสาทสัมผัส  จะเห็นว่า ในการสอนทำอาหารเพื่อพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร์นั้น ครูจะเป็นผู้ที่มีบทบาทเป็นเพียงผู้ช่วยให้คำแนะนำ ผู้วางแผนกิจกรรมขั้นต้น ช่วยเตรียมอุปกรณ์ในการทำอาหาร จัดห้องเรียนให้เหมาะสมในการสอนทำอาหาร กระตุ้นการเรียนรู้โดยให้เด็กๆใช้ทักษะทางวิทยาศาสตร์

กิจกรรมประกอบอาหารที่ส่งเสริมทักษะทางวิทยาศาสตร์ และ เหมาะสมกับระดับปฐมวัย ควรจะเป็นกิจกรรมที่มีขั้นตอนไม่ซับซ้อนที่เด็กสามารถลงมือทำด้วยตนเอง ถ้าเป็นกิจกรรมประกอบอาหารที่ต้องใช้ความร้อน หรือ ต้องใช้อุปกรณ์ที่มีความคม และอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อเด็ก ผู้ปกครอง หรือ ครูควรที่จะช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ ตัวอย่างของกิจกรรมประกอบอาหารที่ส่งเสริมทักษะทางวิทยาศาสตร์ และ เหมาะสมกับเด็กปฐมวัย เช่น การทำบัวลอย ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน แซนวิช เป็นต้น
จะเห็นว่า นอกจากกิจกรรมการประกอบอาหารจะส่งเสริมให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ และ สนุกกับการเป็นผู้ลงมือทำอาหารด้วยตนเองแล้ว กิจกรรมประกอบอาหารยังส่งเสริมให้เด็กๆได้พัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์อีกด้วย



ตัวอย่าง การสอนทำขนมบัวลอยเพื่อพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร์ในระดับเด็กปฐมวัย


กิจกรรมทำขนมบัวลอย จะส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้การลอย การจม การเปลี่ยนแปลงของแป้งข้าวเหนียวที่จะนำมาทำบัวลอย โดยครูให้เด็กสังเกตลักษณะของแป้งข้าวเหนียว โดยการใช้ประสาทสัมผัส และบอกได้ว่ามีแป้งก่อนที่จะผสมน้ำมีลักษณะเป็นผง มีสีขาว เมื่อนำมาผสมน้ำ จะสามารถปั้นเป็นก้อนกลมๆได้ และ เมื่อนำมาผสมสีธรรมชาติ สีขาวของแป้งข้าวเหนียวก็จะเปลี่ยนไปตามสีที่นำมาผสม  ในขณะที่เด็กๆปั้นแป้งนั้น อาจจะให้เด็กปั้นเป็นรูปต่างๆได้ตามชอบใจ ใส่สีธรรมชาติซึ่งอาจจะผสมสีส้มของแครอท สีเขียวของใบเตย เมื่อปั้นเสร็จแล้ว อาจจะให้เด็กจำแนกแป้งที่ปั้นจัดเป็นกลุ่มๆ โดยให้เด็กคิดเกณฑ์การจำแนกเอง เด็กบางคนอาจจะจำแนกแป้งที่ปั้นแล้วตามรูปทรงที่ตนปั้น เด็กบางคนอาจจะจำแนกแป้งที่ปั้นตามสีที่ตนผสม ซึ่งครูอาจจะใช้คำถามถามเด็กว่า “ทำไมจึงจัดกลุ่มพวกนี้อยู่กลุ่มเดียวกัน”


ในขณะทำบัวลอย ครูอาจจะต้องเป็นผู้ช่วยตั้งน้ำให้เดือด และ คอยช่วยเหลือใกล้ๆให้เด็กค่อยๆนำแป้งที่ปั้นแล้วใส่ลงในหม้อน้ำเดือด โดยก่อนที่เด็กๆจะใส่แป้งลงในหม้อ ครูอาจจะใช้คำถามกระตุ้นความสนใจให้เด็กทำนาย และ ลงมือทำการทดลอง เช่น เด็กๆคิดว่า แป้งที่เด็กๆปั้นให้มีขนาดต่างกัน มีทั้งขนาดใหญ่ และ ขนาดเล็ก เมื่อนำไปใส่ในน้ำเดือด เด็กๆคิดว่า “แป้งที่มีขนาดต่างกันนั้นจะลอย หรือ จมน้ำ และ ถ้าลอยขึ้นมา เด็กๆคิดว่า จะลอยขึ้นมาพร้อมกันหรือไม่ เพราะเหตุใด” ในขั้นตอนของการทำน้ำกะทิ ครูอาจจะให้เด็กชิมน้ำกะทิ แล้วถามเด็กๆว่า “เด็กๆคิดว่า น้ำกะทิที่เด็กๆได้ชิมไป มีรสชาติอย่างไร น่าจะมีส่วนผสมใดประกอบอยู่บ้าง” แล้วครูก็ให้เด็กนำน้ำตาล เกลือ น้ำกะทิยกขึ้นตั้งไฟ แล้วถามคำถามเด็กอีกว่า “น้ำตาลที่เด็กๆเห็นก่อนใส่ในน้ำกะทิ เมื่อใส่ลงไปในหม้อต้มน้ำกะทิเดือดแล้ว เด็กๆคิดว่าน้ำตาลหายไปไหน”
เมื่อร่วมกันทำขนมบัวลอยแล้ว ครูก็แจกขนมบัวลอยที่เด็กๆได้เป็นคนทำ เด็กๆก็จะมีความรู้สึกภูมิใจที่เป็นคนทำขนมบัวลอยด้วยตัวเอง และเมื่อชิมก็จะได้พัฒนาประสาทสัมผัสทางลิ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การตั้งคำถามทางวิทยาศาสตร์ได้อีกมากมาย ครูอาจจะสอนสอดแทรกในเรื่องของการทำความสะอาดถ้วยขนม และ โต๊ะอาหารหลังจากรับประทานขนมเสร็จแล้วได้ด้วย

http://www.scimath.org/article-science/item/627-activities-that-promote-skills